(0)
***วัดใจ*** พระขุนแผน...ทรงไก่ (รุ่นแรก) หลวงปู่เลี่ยม วัดทรงกระเทียม จ.สุพรรณบุรี ปี37 เนื้อผงพุทธคุณผสมมวลสารเก่าหลวงพ่อปานจำนวนมาก (องค์นี้พิเศษ...หลังมีเกศาหลวงปู่เป็น 10 เส้น หายากมีน้อย) สุดยอดพ








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต





ชื่อพระเครื่อง ***วัดใจ*** พระขุนแผน...ทรงไก่ (รุ่นแรก) หลวงปู่เลี่ยม วัดทรงกระเทียม จ.สุพรรณบุรี ปี37 เนื้อผงพุทธคุณผสมมวลสารเก่าหลวงพ่อปานจำนวนมาก (องค์นี้พิเศษ...หลังมีเกศาหลวงปู่เป็น 10 เส้น หายากมีน้อย) สุดยอดพ
รายละเอียด ***วัดใจ*** พระขุนแผน...ทรงไก่ (รุ่นแรก) หลวงปู่เลี่ยม วัดทรงกระเทียม จ.สุพรรณบุรี ปี37 เนื้อผงพุทธคุณผสมมวลสารเก่าหลวงพ่อปานจำนวนมาก (องค์นี้พิเศษ...หลังมีเกศาหลวงปู่เป็น 10 เส้น หายากมีน้อย) สุดยอดพระเกจิ ศิษย์ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค + ของดีประสบการณ์เพียบ!!! พุทธคุณเยี่ยมครอบจักรวาล เมตตา มหาเสน่ห์ โชคลาภ ค้าขายเป็นเลิศ!!! ใช้ทำน้ำมนต์รักษาโรค ป้องกันสิ่งไม่ดีทั่งปวง แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุตม์เป็นเลิศ!!! สภาพสวยแชมป์ พึ่งแกะออกจากเลี่ยมทองเดิมครับ

ประวัติ อภินิหารท่าน ยาวมากครับ

ตามหนังสือสุทธิ หลวงปู่เลี่ยมท่านเกิดเมื่อวันที่ ๖ ต.ค. พ.ศ. ๒๔๖๘ ต.สาลี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี เป็นลูกพ่อราม แม่แม้น นามสกุล หาดทะนง ในสมัยเด็ก โยมพ่อและโยมแม่ของท่านมารับจ้างก่อสร้างโบสถ์วัดสาลี ซึ่งหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค มานั่งเป็นประธานการก่อสร้างอยู่จนแล้วเสร็จ ณ.เวลาที่โยมพ่อโยมแม่มาทำงานก่อสร้างนั้น หลวงปู่มีอายุเพียงสองขวบ โยมพ่อและโยมแม่ต้องพาหลวงปู่มาที่ทำงานด้วย เนื่องจากที่บ้านไม่มีใครช่วยเลี้ยง ในระหว่างที่โยมพ่อโยมแม่ของท่านทำงานอยู่นั้น ท่านก็ต้องนั่งเล่นหิน ดิน ทราย อยู่ลำพังเพียงคนเดียว บางครั้งก็เดินเล่นไปมาตามประสาเด็กหกล้ม หกลุก ร้องห่มร้องไห้เนื้อตัวบวมเขียวเป็นที่น่าเวทนาต่อหลวงพ่อปานที่นั่งมองอยู่ยิ่งนัก หลวงพ่อปานจึงเดินไปอุ้มหลวงปู่มาไว้บนตักให้นั่งเล่นกับท่านเป็นการช่วยโดยมพ่อโยมแม่ของหลวงปู่ดูแลหลวงปู่ไปในตัว ด้วยความสงสารหลวงพ่อปานจึงขอหลวงปู่มาเป็นลูกบุญธรรม เลี้ยงดูมาจนกระทั่งการก่อสร้างวัดสาลีแล้วเสร็จ หลวงพ่อปานจึงมอบหลวงปู่คืนให้โยมพ่อโยมแม่ของหลวงปู่จากนั้นจึงเดินทางกลับวัดบางนมโค
ต่อมาพอหลวงปู่เลี่ยมอายุ ๗ ขวบได้บรรพชาเป็นสามเณร โดยมีหลวงพ่อเชื้อ วัดช่องลม เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชแล้วอยู่กับหลวงปู่ห้อยวัดสาลี ศิษย์หลวงพ่อปาน ระหว่างนั้นได้ติดตามหลวงปู่ห้อยเดินทางไปหาหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยู่เสมอๆ ทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้วิชาอาคมจากหลวงพ่อปานในขณะที่หลวงพ่อปานท่านสอนหลวงพ่อห้อย ต่อมาหลวงปู่เลี่ยมได้อุปสมบทเป็นพระโดยมีหลวงพ่อเชื้อ พุทธปาโล วัดใหม่ช่องลมเป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่ห้อย วัดสาลีเป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงลุน วัดช่องลมเป็นอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๒๗ ก.ค. พ.ศ. ๒๔๘๘ ณ.วัดสาลี บวชแล้วก็อยู่ศึกษาจากหลวงพ่อห้อยต่อ อีกทั้งยังได้ศึกษาวิชาเพิ่มเติมจากพระอาจารย์ซัว วัดสาลี (พระอาจารย์ของหลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย) และหลวงพ่อเล็ก วัดบางนมโค ซึ่งต่างก็เป็นศิษย์หลวงพ่อปานด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะหลวงพ่อเล็กนั้นเป็นหลวงปู่ของหลวงปู่เลี่ยมด้วย พร้อมกันนั้นท่านยังได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อฤๅษีลิงดำผู้เป็นหลวงอาเสมอมา ด้วยความที่หลวงปู่เลี่ยมท่านเป็นหลานผู้นอบน้อมแถมยังเป็นผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดกรรมฐานและวิชาอาคมในสายหลวงพ่อปานมาอย่างเข้มข้นทำให้หลวงพ่อฤๅษีลิงดำมั่นใจในตัวท่านมากถึงกับออกปากในเครือญาติว่า ท่านเลี่ยมนี่คมในฝัก เป็นพระรูปเดียวที่แทนฉันได้
ด้วยเหตุที่หลวงปู่มีโอกาสได้รับความรู้จากหลวงพ่อปานโดยตรง ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบครูพักลักจำก็ตาม แต่หลวงพ่อปานก็ได้ประสิทธิให้ และต่อมาภายหลังหลวงปู่ยังได้เรียนกับพระอาจารย์อีกหลายรูปซึ่งต่างก็เป็นศิษย์หลวงพ่อปานทั้งสิ้น โดยเฉพาะหลวงพ่อเล็ก เจ้าอาวาสวัดบางนมโค ซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อปานนั้นเป็นปู่ของหลวงปู่เลี่ยมได้ถ่ายทอดวิชาให้หลวงปู่เลี่ยมอย่างเต็มที่ ทำให้หลวงปู่แตกฉานในวิชาสายนี้เป็นที่สุด ประกอบกับหลวงปู่เป็นลูกบุญธรรมที่หลวงพ่อปานรักมาก เลี้ยงมาบนตัก ดังนั้นการจะปลุกเสกเลขยันต์ใดๆ เมื่อหลวงปู่เลี่ยมเป็นผู้อัญเชิญครู หลวงพ่อปานท่านจะลงให้ทุกครั้ง หลวงปู่ท่านจึงเปรียบเสมือนตัวแทนของหลวงพ่อปานที่ยังคงเหลืออยู่เพียงรูปเดียว ในยุคปัจจุบัน และนี่ก็คงเป็นเหตุให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์และมหัศจรรย์ในตัวท่านและวัตถุมงคลของท่านอยู่เนืองๆ ด้วยการใช้วิชาของหลวงพ่อปานจับผี และถอดถอนคุณไสย รวมถึงวิชาทางด้านคุ้มครองป้องกันภัย อย่างยันต์เกราะเพชร หรือ วิชาพระปัจเจกะโพธิ์เสริมโภคทรัพย์ และอีกหลายๆวิชาที่ยังไม่ค่อยมีผู้ใดนำออกมาเขียนเป็นบทความเผยแพร่ อย่างเช่น วิชาควายธนู วิชากันสะท้อน วิชาอาวุธพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคใช้เสกมีดหมอรักษาคน ขับคุณไสยมามากแล้ว (วิชาอาวุธพระพุทธเจ้านี้สำคัญนัก แม้กระทั่งหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูงก็ยังนำไปประกอบยันต์โสฬสเหมือนกัน)
ปฏิปทาและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ฯ
ชานหมากคงกระพัน หลวงปู่ท่านเป็นพระพูดน้อย แต่มีเมตตามาก ไม่ว่าลูกศิษย์จะไปกวนอย่างไร ท่านไม่เคยดุด่าว่ากล่าว แต่หลวงปู่ท่านจะ นิ่งเงียบ จนลูกศิษย์ลูกหาต้องเกรงใจเลิกกวนไปเอง ท่านสงเคราะห์ญาติโยมทุกชนชั้นเหมือนกันหมด ไม่มีแบ่งแยกเลือกที่รักมักที่ชัง อย่างเช่นกรณีชานหมาก คือเมื่อก่อนนี้หลวงปู่ท่านฉันหมากไป ก็จะทำการอาพัดไป โดยกลึงด้วยธาตุดินและธาตุไฟทำให้ชานหมากแข็งกลม เวลาคายออกมาญาติโยมก็ขอไปเป็นเครื่องรางบูชาติดตัว ต่อมาเกิดมีคนที่ได้ชานหมากนี้ไปถูกลอบยิงแต่ไม่เข้าจึงทำให้ลูกศิษย์ที่รู้ข่าวต่างมารอแย่งชานหมากจากปากหลวงปู่กันทุกวัน จนท่านเกิดความเอือมระอา แต่หลวงปู่ก็มิได้ห้ามปรามหรือว่าอะไร ท่านคงนั่งฉันอย่างเงียบๆต่อไป ส่วนญาติโยมที่มาคอยแย่งกัน ก็ต้องคอยๆ คอยแล้วคอยเล่า ก็ไม่มีชานหมากคายออกจากปากหลวงปู่แม้แต่คำเดียว แถมหลวงปู่ก็หยุดเคี้ยวไปแล้วด้วย บรรดาโยมที่เฝ้ารออยู่ต่างก็อดสงสัยไม่ได้ ในที่สุดจึงมีคนทนไม่ไหว เรียนถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่เคี้ยวหมากเสร็จหรือยัง? หลวงปู่ท่านก็ตอบว่าเสร็จแล้ว โยมก็ถามต่อว่า ไม่เห็นหลวงปู่คายออกมาเลย หลวงปู่ตอบว่า ข้ากลืนลงท้องไปหมด มันมีเม็ดเดียว หากคายออกมาพวกเอ็งก็แย่งทะเลาะกันอีก และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาหลวงปู่ก็ไม่เคยคายชานหมากให้ใครอีกเลย จนกระทั่งท่านจะสร้างพระผงขุนแผนเกราะเพชร จึงได้คายและป่นต่างแห้งเก็บไว้ ส่วนที่ละเอียดก็นำลงผสมกับปูนจนออกสีแดงๆดำๆ ส่วนที่หยาบเป็นเกร็ดๆท่านสั่งให้เก็บเอาไว้โรยบนผิวพระให้เห็นๆกันทีเดียว
ทรงอภิญญา
ศิษย์พระอาจารย์ชาญ วัดสระแก้วศรีสรรเพชญ์ ได้นำผ้ายันต์และผงมวลสารต่างๆที่พระอาจารย์ท่านจะดำเนินการสร้างพระไปตระเวนให้หลวงปู่ครูบาอาจารย์หลายๆรูปปลุกเสก และ๑ในครูบาอาจารย์ทั้งหมดคือหลวงปู่เลี่ยมนั่นเอง เมื่อไปถึงคณะศิษย์ก็นำผ้ายันต์เป็นหมื่นผืนให้ท่านปลุกเสกก่อน ท่านก็ปลุกให้อยู่นานทีเดียว พอท่านปลุกเสกผ้ายันต์เสร็จแล้ว ก็นำผงมวลสารจำนวนสองลังแม่โขง ให้ท่านเสก แต่คราวนี้หลวงปู่ท่านเสกไม่นาน แค่อึดใจเดียว ท่านก็ลืมตาขึ้น แล้วเอามือเคาะลังใบทางขวามือ ถามว่าในลังนี้มีอะไร ของดี สำคัญนะนี่ สว่างไสวเสกไม่ลง ลูกศิษย์พระอาจารย์ชาญก็ต่างมองหน้ากันอย่าง งงๆ เพราะตอนนั้นยังนึกไม่ออกว่าในลังนั้นมีอะไร?
จนกระทั่งรถเลี้ยวออกจากวัดนั่นหล่ะ เด็กคนที่นำถุงมวลสารบรรจุลงลังถึงบอกออกมาว่าในลังที่หลวงปู่ท่านบอกว่าดีนั่นน่ะ มีผงหกตุ่มของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ที่พระอาจารย์จะพาไปให้ช่างทำพระผงสมเด็จหอมของหลวงปู่เลิศ วัดโพธาวาส แต่เขากลัวว่าจะลืมเอาไปในวันที่ต้องผสมผง เลยไม่ได้เอาออกจากลังผงมวลสารทั้งหมด ยังคงอยู่ที่ก้นลังใบนี้ ทุกคนจึงร้องอ๋อ เข้าใจแล้ว เพราะผงนี้เป็นผงที่หลวงพ่อไพ่หรือหลวงพ่อบุญรวบ ลูกบุญธรรมหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง ท่านสั่งเสียไว้ก่อนมรณภาพว่า ผงนี้สามารถทำเป็นพระแล้วออกให้บูชาได้เลย ไม่ต้องปลุกเสกอีก เพราะครูบาอาจารย์ท่านทำไว้จนเต็มและเสกไม่ลงแล้ว หลวงปู่เลิศท่านก็ยืนยันแบบนี้ นั่นย่อมแสดงว่าหลวงปู่เลี่ยมและหลวงปู่เลิศทั้ง๒รูปนี้ มีอภิญญาสูงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หลวงปู่เลี่ยมจึงรู้ได้ว่าผงมวลสารในลังทางขวานี้ดี สว่างไสวจนเสกไม่ลง
ขับคุณไสย ถอนของ
หลวงตาเหนาะ พระผู้ช่วยหลวงปู่เลี่ยมที่เฝ้าโบสถ์นั้น ก่อนบวชท่านเคยถูกคุณไสยเข้าที่ขา ซึ่งไม่รู้ใครปล่อยมา อยู่ๆขาบวมเป่งทรมานมาก เริ่มเจ็บปวดร้าวขึ้นจากปลายขาไปตามลำตัวถึงสันหลัง รักษาแพทย์แผนปัจจุบันเท่าไรก็ไม่ทุเลา แถมหมอไม่รู้เป็นอะไร หาสาเหตุไม่เจออีก เลยมาหาหลวงปู่ให้ท่านดู หลวงปู่เห็นแล้วก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงทำน้ำมนต์พ่นอาบก่อน จากนั้นก็ใช้มีดหมอจี้ไล่ไปปลายเท้า ที่นี้อาการปวดค่อยๆหายจากบริเวณอื่นไปรวมอยู่ที่ปลายเท้าอย่างเดียว แต่ก็ยังไม่ออก หลวงปู่จึงเสกหมากให้กิน พอหลวงตาเหนาะกินหมากเข้าไปก็อาเจียนของเหม็นเน่าแบบน้ำเหลืองน้ำหนองเขียวปี๋ มีชิ้นเนื้อเน่าพุ่งออกมา แต่ของก็ยังออกไม่หมดอีก คราวนี้หลวงปู่เลยนำแป้งเสกมาพอกตรงที่บวมแล้วเอามีดหมอลงอาคมจี้กำกับไว้ พอตกกลางคืนเท่านั้นหล่ะ กระดูกแท่งเล็กๆ พุ่งทะลุเนื้อแทรกออกมา น้ำเหลืองนี่พุ่งกระฉูดเลย หลวงตาเหนาะต้องเอาผ้าขาวม้าพันซับไว้แล้วก็สลบไป พอตื่นเช้าขึ้นมานี่น้ำเหลืองแห้งกรังเต็มผ้าขาวม้า จนผ้าขาวม้าแข็งกรอบตั้งได้เลยทีเดียว ส่วนกระดูกผีที่ออกมานั้นได้ใส่ไว้ในขันตั้งใจจะเอาไปให้หลวงปู่ดู แต่ปรากฏว่าแมวแม่ลูกอ่อนมาคาบไปกิน ทำให้แมวทั้งแม่และลูกคอกนั้นตายหมดทันที จากนั้นมาหลวงตาเหนาะก็ยังไม่หายดีทีเดียว ยังมีอาการหนาวๆร้อนๆอยู่ หลวงปู่จึงได้แนะนำให้หลวงตาเหนาะบวช หลวงตาเหนาะก็เลยตกลงบวชตามคำแนะนำของท่าน พอได้บวช โกนผมเสร็จเท่านั้น จึงรู้สึกโล่ง หายจากอาการดังกล่าวเป็นปลิดทิ้ง หลวงตาเหนาะท่านจึงบวชไม่สึกมาจนกระทั่งปัจจุบันนานกว่า ๒๐ พรรษาแล้ว
หลวงปู่ฯเรียกวิญญาณ
มีเด็กหนุ่มบางปลาม้าประสบอุบัติเหตุ รถมอเตอร์ไซล้มโดยไม่สวมหมวกกันน็อก ทำให้หัวฟาดพื้นกะโหลกแตกเสียชีวิต บริเวณคอสะพาน แล้ววิญญาณไปไหนไม่ได้ต้องอยู่บริเวณนั้น เป็นเวลาคืนหนึ่งแล้ว วันรุ่งขึ้นวิญญาณเด็กหนุ่มจึงได้เข้าร่างเพื่อนสาวคนหนึ่งซึ่งไปดูที่เกิดเหตุพร้อมกับเพื่อนๆอีกหลายคน เพื่อบอกว่าที่จริงแล้วรถตนไม่ได้ล้มเอง แต่ถูกคู่อริแกล้งเฉี่ยวให้ล้ม แล้วพ่อแม่ของคู่อรินำหมอผีมาทำการสะกดวิญญาณจนกลับบ้านไม่ได้ ทำให้เพื่อนๆที่ได้ฟังผีเด็กหนุมบอกรีบนำความไปเล่าให้พ่อแม่ของเด็กหนุ่มฟัง พ่อแม่ฟังแล้วก็เกิดความสงสารวิญญาณของลูกอย่างจับใจ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ไปปรึกษาพระอาจารย์ที่ไหนก็ไม่มีใครช่วยได้ จนมีพระอาจารย์รูปหนึ่งแนะนำให้มาหาหลวงปู่เลี่ยม พอหลวงปู่ได้ฟังเรื่องแล้วก็นั่งหลับตาอยู่สักพักจากนั้นก็รับปากว่าจะไปแก้ไขให้ ว่าแล้วหลวงปู่ก็สั่งให้พ่อแม่เด็กกลับไปขุดดินมาก้อนหนึ่ง ปั้นให้เป็นรูปลูกชาย พร้อมทั้งให้ไปจัดดอกไม้ธูปเทียนและเงินยกครูหกสลึงมา ส่วนท่านก็ให้ลูกศิษย์เตรียมสายสิญจน์และคว้ามีดหมอใส่ย่ามไปกะโยม เมื่อไปถึงหลวงปู่ทำการไหว้ครูทันทีแล้วก็จัดการนำหุ่นดินนั้นวางลงในพาน จากนั้นก็นำมีดหมอขึ้นมาเสกเป่าสักอึดใจแล้วก็จี้ลงบนพื้นถนนบริเวนที่มีคราบเลือดแห้งกรังอยู่เพื่อทำลายอาคมที่หมอผีมาสะกดวิญญาณไว้ เวลาผ่านไปสักอึดใจ หลวงปู่ก็ทำให้ไทยมุงทุกคนที่อยู่ในที่นั้นก็ต้องวิ่งแตกกระจาย เพราะเห็นหุ่นในพานสั่นไหวหมุนไปมา หลวงปู่เห็นไทยมุงวิ่งแตกฮือ ท่านก็ขำแล้วบอกว่า วิญญาณแด็กหนุ่มเข้าหุ่นแล้ว ไม่ต้องกลัว จากนั้นท่านก็เสกสายสิญจน์พันไว้ แล้วจึงให้พ่อแม่เด็กนำหุ่นไปแกะสายสิญจน์ที่ศาลาวัดที่ตั้งศพเด็กหนุ่มคนนี้ เพื่อปล่อยให้วิญญาณไปตามภพภูมิของตน แต่เหตุการณ์ตื่นเต้นไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เพราะทันทีที่รถปิคอัพของพ่อแม่เด็กที่นำหุ่นลูกขับผ่านประตูวัดเข้าไปศาลาที่ตั้งศพนั้น หมาในวัดฯต่างก็ออกมายืนหอนโหยหวนทั้งๆที่เป็นเวลากลางวันแสกๆ ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ขนพองสยองเกล้าไปตามๆกัน
วิชาเกราะเพชร ตามที่ทราบกันแต่เบื้องต้นแล้วว่าหลวงพ่อปานท่านสำเร็จวิชายันต์เกราะเพชรแบบเป่าทะลุทะลวงลงไปประทับในกะโหลกญาติโยมได้ เป่าพ่อติดไปถึงลูก หลวงปู่เลี่ยมท่านได้สืบสานวิชานี้มาและหลวงพ่อปานยังได้เป่าให้ติดกะโหลกท่านไว้ด้วย พร้อมกับบอกว่า ยันต์ที่ประทับในกะโหลกนี่เป็นยันต์ครู เวลาจะทำวิชาเกราะเพชรให้นึกถึงยันต์ที่ประทับที่หน้าผากนี้เป่าออกไปได้ไกลแสนไกล จะให้ยันต์ประทับตรงไหนก็ได้ ตามแต่ใจจะนึก สมัยนั้นเป็นเด็กฟังแล้วก็ไม่ได้คิดอะไร แถมยัง งงๆ ว่าหลวงพ่อปานมาบอกให้ฟังทำไมก็ไม่รู้ แต่ต่อมาภายหลังจากที่หลวงปู่สำเร็จวิชาเกราะเพชร และ จักขุอภิญญา ท่านจึงใช้อภิญญาเข้าไปดูที่กะโหลกของตนและเมตตาเล่าให้ฟังดังนี้.... เราเคยดูไปที่หน้าผากกะโหลกเรา เห็นพระยันต์เกราะเพชรเต็มๆสีทองอร่ามสวย พอเราลองทำตามหลวงพ่อปาน
ราคาเปิดประมูล 30 บาท
ราคาปัจจุบัน 40 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ 10 บาท
วันเปิดประมูล พฤ. - 18 เม.ย. 2567 - 21:09:37 น.
วันปิดประมูล ส. - 20 เม.ย. 2567 - 09:36:47 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูล natthawat14 (14K)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     40 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     10 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    ดอนโป่ง (1.4K)

 
(0)
  ประวัติการเสนอราคา
 ผู้เสนอราคาราคาเวลา
  ดอนโป่ง (1.4K) 40 บาท ศ. - 19 เม.ย. 2567 - 09:36:47 น. (ถึงราคาขั้นต่ำแล้ว)

Copyright ©G-PRA.COM