(0)
**วัดใจครับ**พระหลวงพ่อโต หลวงปู่ชู วัดนาคปรก กรุงเทพฯ ปี 2470 เนื้อดิน สภาพสวย..รับประกันตามกฎครับ






รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่อง**วัดใจครับ**พระหลวงพ่อโต หลวงปู่ชู วัดนาคปรก กรุงเทพฯ ปี 2470 เนื้อดิน สภาพสวย..รับประกันตามกฎครับ
รายละเอียดพระหลวงพ่อโต หลวงปู่ชู วัดนาคปรก กรุงเทพฯ ปี 2470 เนื้อดินเผา หลังจารยันต์เฑาะ สภาพสวยเดิมๆไม่ผ่านการใช้ หลวงปู่ชู ท่านเป็นสุดยอดพระเกจิ ที่มีชื่อเสียงมากอีกองค์หนึ่งของประเทศไทย ท่านได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นไม่มาก อาธิเช่น 1.เหรียญหลังแบบรุ่นแรก (มีค่านิยมสูงมากในปัจจุบัน) 2.ปรกนาคปรก 3.พระพิมพ์หลวงพ่อโตบางกระทิง เนื้อทองผสม และ เนื้อดินเผา 4.ผ้าประเจียด และ ผ้ายันต์ 5.ตะกรุด เป็นต้น.............ประวัติ หลวงปู่ชู ฉันทสโร วัดนาคปรก กรุงเทพฯ ท่านเป็นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๑ โยมบิดาชื่อ คง โยมมารดาไม่ทราบนาม...โยมบิดามีอาชีพค้าขาย มีเรือโกลนล่องมาจากนครศรีธรรมราช มาค้าขายที่ กรุงเทพฯ ต่อมาได้โยกย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่จังหวัด ธนบุรี ในปี พ.ศ.๒๔๑๒ ได้บรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดทองนพคุณ อันเป็นสำนักสอนกัมมัฏฐาน ที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น หลวงปู่ชู ท่านได้ศึกษาทางด้านนี้ รวมทั้งจิตใจฝักใฝ่ด้าน พุทธาคม และ ไสยเวท มาตั้งแต่รุ่นหนุ่มจึงมุ่งมั่นศึกษาวิชาต่าง ๆ แต่ละแขนงจนกระทั่งเชี่ยวชาญ และท่านยังเป็นศิษย์เรียนวิชาจากสำนัก วัดระฆังโฆสิตาราม อีกด้วย ต่อมาท่านได้ลาสิกขาเพื่อสะดวกแก่การเดินทางไปศึกษาวิชาต่าง ๆ ท่านได้ไปขอศึกษาวิชากับท่านอาจารย์พลับ วิชีตาเห็น (วัดชีโพ้น ในปัจจุบัน) จังหวัดอยุธยา ซึ่งมีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น ได้ปรนนิบัติและศึกษาวิชากับ พระอาจารย์พลับ จนหมดสิ้น จึงกราบลาพระอาจารย์เดินทางขึ้นเหนือไปยัง จังหวัดพิจิตร พิษณุโลก แต่ไม่ได้มีการบันทึกไว้ว่า ท่านได้ไปศึกษาวิชากับ พระอาจารย์รูปใด อีกทั้งการเดินทางไปของท่านเป็นระยะเวลานานมาก และยังขาดการติดต่อกับทางบ้าน บรรดาญาติพี่น้อง ต่างพากันเข้าใจว่าท่านเสียชีวิตไปแล้ว พอท่านกลับมาเยี่ยมบ้าน ยังความปีติยินดีแก่ญาติพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง โยมบิดา มารดา จึงจัดหาตบแต่งภรรยาให้ท่านอยู่กินกันจนมีบุตรธิดา รวม ๓ คน เป็นชาย ๒ คน หญิง ๑ คน หลังจากท่านแต่งงานมีครอบครัวท่านก็ได้ใช้ความรู้ทางด้านสมุนไพรใบยา และเวทย์มนต์คาถา ที่ได้ร่ำเรียนมาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากจนเป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้าน ต่างพากันเรียท่านว่า "พ่อหมอชู" ภายหลังท่านเกิดเบื่อหน่ายในโลกีย์วิสัย มองเห็นความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร จึงได้อุปสมบทอีกครั้งที่ วัดนางชี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ต่อมาได้ย้ายมารับตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดนาคปรก จวบจนกระทั่ง มรณภาพ เมื่อวันพุธ แรม ๕ ค่ำ เดือนยี่ ปีจอ พ.ศ. ๒๔๗๗ รวมสิริอายุได้ ๗๖ ปี * ประวัติวัดนาคปรก * สร้างขึ้นตามประวัติเล่าสืบกันว่า เมื่อสมัยอยุธยาตอนปลาย-กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ ๓-๔) มีพ่อค้าเรือสำเภาชาวจีน ชื่อ พระบริบูรณ์ธนากร (เจ้าสัวพุก แซ่ตัน)* เดินทางมาประกอบการค้าขายที่พระนคร ฝั่งธนบุรี ย่านตลาดพลู ได้ตั้งรากปักฐานเป็นครอบครัวกับภรรยาคนไทย เจ้าสัวพุก เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสยิ่งในพระพุทธศาสนา มีฐานะดีพอที่ จะเกื้อกูลประโยชน์แก่คนอื่น จึงได้คิดริเริ่มก่อสร้างวัดขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม กิจกรรม และศาสนกิจทางพระพุทธศาสนา อีกประการหนึ่ง เพื่อเป็นการตอบแทนคุณชาวไทยที่ทำให้การค้าขายของตนเติบโตก้าวหน้า การก่อสร้างเริ่มแรกได้สร้างโบสถ์ขึ้นก่อน พร้อมกับเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นเครื่องบูชาของชาวจีนโบราณต่างๆ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ตนเอง และสร้างวิหารมีลักษณะทรงไทยเป็นอนุสรณ์แก่ภรรยา เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังลายไทยเล่าเรื่องราวการเสด็จลงจากดาวดึงส์ และเรื่องราวการชนะมารของพระพุทธเจ้า ครั้นแล้วได้อัญเชิญพระพุทธรูปปางมารวิชัยมาจากเมืองสุโขทัย มาประดิษฐานไว้ในวิหารพระประธานองค์ประดิษฐานที่วิหารนั้นมีพญานาค ๗ เศียรแผ่พังพาน เป็นรูปปูนปั้น องค์พระเป็นพระปางมารวิชัยสัมฤทธิ์ ชาวบ้านจึงได้เรียกว่า “วัดนาคปรก” ตามลักษณะพระพุทธรูปที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ของวัดนี้ ที่ตั้งและอาณาเขตของวัด วัดนาคปรกมีฐานะเป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ ๓๔๒ ถนนเทอดไท ๔๙ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ที่ดินที่ตั้งวัดมี ๑๒ ไร่ ๑ งาน ๔๒ ตารางวา โฉนดเลขที่ ๒๕๐๔๓ อาณาเขต ทิศเหนือติดกันคลองวัดนาคปรก ด้านทิศตะวันออกติดกับวัดนางชี ทิศใต้ติดกับคลองบางหว้า และด้านทิศตะวันตกติดกับโรงเรียนวัดนาคปรก * ประวัติพระปางนาคปรก * ตามพุทธประวัติ ในคืนวันเพ็ญวิสาขมาส (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6) นับย้อนหลังไปก่อนปีพุทธศักราชประมาณ 125 ปีองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงละการทรมานกาย หันมาบำเพ็ญเพียรทางจิต ในปฐมยามทรงทำลายกิเลสอย่างหยาบลงได้ ในมัชฌิมยามทรงทำลายกิเลสอย่างกลาง และในปัจฉิมยามทรงได้ทรงทำลายความมืดคือ อวิชชา อันเป็นกิเลสอย่างละเอียดลงได้ ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพร้อมทั้งอรุณขึ้นในเวลาเช้า ต่อแต่นั้นพระองค์ทรงประทับเสวยวิมุตติสุข ณ สถานที่ 7 แห่ง สถานที่ละ 1 สัปดาห์ รวมเป็นเวลา 7 สัปดาห์ โดยเริ่มจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ก่อน ครั้นพระองค์เสด็จประทับเสวยวิมุติสุข ณ ร่มไม้อชปาลนิโครธสิ้น 7 วันแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปประทับนั่งเสวยวิมุติสุขยังร่มไม้จิก อันมีชื่อว่า “มุจลินท์” ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศอาคเนย์ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ แต่บังเอิญได้เกิดมีฝนตกพรำๆอยู่ไม่ขาดสายตลอด 7 วัน พญานาคมุจลินท์ผู้เป็นราชาแห่งนาคได้ออกจากนาคพิภพ ทำขนดล้อมพระวรกาย 7 ชั้น แล้วแผ่พังพานใหญ่ปกคลุมเบื้องบนเหมือนกั้นเศวตฉัตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยความประสงค์มิให้ฝนและลมหนาวสาดต้องพระวรกาย ทั้งป้องกันเหลือบยุง บุ้ง ร่าน ริ้น และสัตว์เลื้อยคลานทั้งมวล ความว่า “ความสงัดเป็นสุขของบุคคลที่มีธรรมอันได้สดับแล้ว รู้เห็นสังขารทั้งปวงตามเป็นจริงอย่างไร ความเป็นคนไม่เบียดเบียน คือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย และเป็นคนปราศจากความกำหนัด คือความก้าวล่วงกามทั้งปวงเสียได้เป็นสุขในโลก ความนำออกเสียงซี่งอัสมินามะ คือความถือตัวตนให้หมดได้นี่เป็นสุขอย่างยิ่ง” จากพระพุทธจริยาที่เสด็จประทับนั่งเสวยวิมุติสุข ภายในวงขนดของพญามุจลินท์นาคราชนี้เอง จึงเป็นที่มาแห่งการสร้างพระพุทธรูปปางนี้ขึ้นมาเรียกว่า พระปางนาคปรก ให้เราได้เคารพกราบไหว้มาจนทุกวันนี้
ราคาเปิดประมูล250 บาท
ราคาปัจจุบัน550 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ50 บาท
วันเปิดประมูล - 09 ส.ค. 2559 - 23:52:48 น.
วันปิดประมูล - 11 ส.ค. 2559 - 01:30:22 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลเฉาก๊วยดอทคอม (1.2K)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     550 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     50 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    chanpichai (288)(3)

 

Copyright ©G-PRA.COM